สัมภาษณ์กับ Stanley Druckenmiller
legendary investor
โดย Norges Bank Investment Management • 2024-11-06

เมื่อ Nicola Tangen, CEO ของ Norges Bank Investment Management ได้พูดคุยกับ Stanley Druckenmiller เธอแนะนำเขาว่าเป็น "ตำนานตัวจริง" ในโลกของการลงทุน ซึ่งเป็นฉายาที่เขาพิสูจน์ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่าสมควรได้รับ ในการสนทนาที่ตรงไปตรงมาและครอบคลุม Druckenmiller ได้เผยปรัชญาการลงทุนที่ไม่เหมือนใครของเขา เผยให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างสัญชาตญาณ การวิเคราะห์อย่างเข้มข้น และการไร้อารมณ์อย่างเด็ดขาดที่หล่อหลอมอาชีพที่ไม่ธรรมดาของเขา ตั้งแต่การคาดการณ์ภาวะมหภาคไปจนถึงกลไกของการเทรดในตำนาน การสนทนาครั้งนี้ได้เผยให้เห็นมุมมองอันหาได้ยากจากสุดยอดนักลงทุนตัวจริง
ฝ่าม่านหมอกมหภาค: เงินเฟ้อ, ธนาคารกลางสหรัฐฯ, และเสียงสะท้อนจากยุค 70s
Druckenmiller แม้จะเป็นที่รู้จักในฐานะนักลงทุนมหภาค แต่ก็เผยว่ามุมมองแบบ Top-down ของเขามักถูกสร้างขึ้นแบบ "Bottom-up" โดยการรับฟังข้อมูลจากบริษัทต่างๆ ปัจจุบัน มุมมองที่ได้จากความเชื่อมั่นขององค์กรยังไม่พบสัญญาณความอ่อนแอที่สำคัญ ยกเว้นตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังถอยจาก "ระดับราคาที่สูงมาก" อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความมั่นคงในปัจจุบัน เขาก็แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ความกังวลนี้ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2021 เมื่อเขาเริ่มหมกมุ่นกับการเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในยุค 1970s แม้ว่าเขาจะคาดการณ์การลดลงของเงินเฟ้อได้อย่างถูกต้อง แต่เขายอมรับว่าเขา "ผิดโดยสิ้นเชิง" เกี่ยวกับการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะซบเซา ตอนนี้ความกลัวของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
Druckenmiller กังวลว่า Federal Reserve (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) อาจประกาศชัยชนะเร็วเกินไป ด้วยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (credit spreads) ที่แคบลง ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ และตลาดหุ้นที่คึกคัก เขามองว่าความกระตือรือร้นของ Fed ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนั้นน่ากังวล เขาได้วิจารณ์ "ความหมกมุ่นกับการทำให้เศรษฐกิจลงจอดอย่างนุ่มนวล" (soft landing) ของธนาคารกลาง โดยโต้แย้งว่าไม่ใช่หน้าที่ของ Fed ที่จะปรับแต่งรายละเอียด แต่คือการหลีกเลี่ยง "ความผิดพลาดครั้งใหญ่" เช่นเดียวกับยุค 1970s หรือวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ (Great Financial Crisis) เขายังชี้ไปที่ความมุ่งมั่นของ Fed ในการ "ให้แนวทางล่วงหน้า" (forward guidance) ว่าเป็น "ปัญหาใหญ่" โดยระบุว่ามัน "ลดทอนทางเลือก" และป้องกันไม่ให้พวกเขาเปลี่ยนใจเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ซึ่งความยืดหยุ่นเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการลงทุนที่ประสบความสำเร็จในมุมมองของเขา สำหรับประเด็นงบประมาณที่ขาดดุลซึ่งกำลังใกล้เข้ามา Druckenmiller ได้แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งในฐานะพลเมืองอเมริกัน โดยเตือนว่า "คุณจะล้มละลายได้อย่างไร? ช้าๆ ทีละน้อย แล้วก็ฉับพลัน" เขาเชื่อว่าสหรัฐฯ ได้หลีกเลี่ยง "ช่วงเวลาของ Liz Truss" ได้เนื่องจากสถานะเงินสำรองของตน แต่ "หนี้ต่อ GDP ไม่สามารถเพิ่มขึ้นตลอดไปได้"
Key Insights:
- Druckenmiller วิเคราะห์มหภาคแบบ "Bottom-up" โดยเน้นการรับฟังข้อมูลจากบริษัท
- ปัจจุบันเขากังวลเรื่องการกลับมาของเงินเฟ้อมากกว่าเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
- เขามองว่าความหมกมุ่นของ Fed ในการทำ "soft landing" และ "forward guidance" เป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ซึ่งจำกัดความยืดหยุ่นและอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดทางนโยบาย
- เขาเห็นว่างบประมาณขาดดุลของสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามระยะยาวที่สำคัญ แม้ว่าสถานะเงินสำรองจะช่วยป้องกันในระยะสั้นได้ก็ตาม
Key Changes:
- ความกังวลหลักของเขาเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอไปสู่ศักยภาพการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อ
- เขาได้วางตำแหน่งการลงทุนด้วยการ Short Bonds โดยเข้าสู่ตลาด "ในวันที่ Fed ลดอัตราดอกเบี้ย"
เกาะกระแสและค้นพบเทรนด์: จาก AI สู่ Ozempic
การสนทนาได้เปลี่ยนไปสู่โอกาสทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง โดย Druckenmiller พูดถึงการปฏิวัติ AI และการเติบโตอย่างรวดเร็วของยาต้านโรคอ้วน เขายอมรับว่าความรู้เกี่ยวกับ Nvidia ของเขาในตอนแรกมีจำกัด โดยคิดว่าเป็นเพียง "บริษัทเกม" อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์รุ่นใหม่ของเขาได้จับสัญญาณเทรนด์สำคัญ นั่นคือวิศวกรในมหาวิทยาลัยชั้นนำกำลังเปลี่ยนความสนใจจากคริปโตเคอร์เรนซีมาที่ AI สิ่งนี้ ประกอบกับราคาหุ้นที่ "ลดลงจาก 400 เหลือประมาณ 150" ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนเริ่มต้นแบบ "ลงทุนก่อน แล้วค่อยสืบค้น" การเปิดตัว ChatGPT ในเวลาต่อมา เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า "เป็นเพียงโชคล้วนๆ" แม้จะมองศักยภาพของ AI ในแง่ดีอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เขาก็กำลังหาวิธีที่จะลงทุนในเรื่องนี้ โดยตระหนักว่าระยะ "picks and shovels" (การขายเครื่องมือให้กับผู้ขุดทอง) ในปัจจุบันอาจพัฒนาไปไกลกว่าโมเดล "ผู้ชนะกินรวบ" คล้ายกับช่วงเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
ในทางกลับกัน การเข้าลงทุนในผู้ผลิตยาต้านโรคอ้วนนั้น "ง่าย" เขาเข้าใจจิตวิทยาของชาวอเมริกันและความต้องการ "วิธีลดน้ำหนักโดยไม่ต้องลงแรง" เมื่อสังเกตประสิทธิภาพของยาและความจำเป็นในการใช้ต่อเนื่องเพื่อรักษาน้ำหนัก เขาจึงระบุว่านี่คือธุรกิจแบบ "ใบมีดโกน" คลาสสิก เขาสารภาพว่าบางครั้งก็ขายเร็วเกินไป เช่นเดียวกับ Nvidia ที่ราคา 800-900 ดอลลาร์ และ Lilly ที่ราคาสูงกว่า 700 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางทางเทคนิคของเขาในการเฝ้าระวัง "จุดสูงสุด" หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มคงที่ แม้จะมีการขายออกไปก่อนเวลาเหล่านี้ แต่เขาก็ยังเปิดกว้างที่จะซื้อสินทรัพย์คืนในราคาที่สูงขึ้นหากความเชื่อมั่นยังคงอยู่
Key Practices:
- "ซื้อก่อน วิเคราะห์ทีหลัง": สำหรับเทรนด์ใหม่ที่มีแนวโน้มดี เขามักจะเข้า "ลงทุนในตำแหน่งที่สำคัญ แต่ไม่ถึงกับพลิกโลก" จากนั้นจึงทำการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อยืนยันหรือปรับเปลี่ยน
- จินตนาการถึงอนาคต: ปรัชญาหลักของเขาคือ "อย่าลงทุนในปัจจุบัน แต่จงพยายามจินตนาการถึงสถานการณ์ในอีก 18 ถึง 24 เดือนข้างหน้า"
- ใช้ประโยชน์จากคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์: เขาวางใจในทีม "นักวิเคราะห์รุ่นใหม่ที่เก่งกาจ" ของเขาในการค้นพบเทรนด์และพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ
ศิลปะของการเทรด: ความเชื่อมั่น, ความยืดหยุ่น, และการเทรดเงินปอนด์ในตำนาน
Druckenmiller ได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกส่วนตัวเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนและช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขากับ George Soros เขาอธิบายความสัมพันธ์กับ Soros ว่าตอนแรก "ไม่ราบรื่น" เป็นช่วงที่เขาต้องพิสูจน์สัญชาตญาณของตัวเอง เขายกย่อง Soros ที่สอนบทเรียนอันลึกซึ้งที่ว่า "ไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สำคัญคือคุณได้มากแค่ไหนเมื่อคุณถูก และเสียไปเท่าไหร่เมื่อคุณผิด" หลักการนี้เป็นรากฐานของการร่วมมือที่โด่งดังที่สุดของพวกเขา: การ Short เงินปอนด์อังกฤษในปี 1992
เขาย้อนเล่าว่า Scott Bessent หุ้นส่วนของเขา เตือนเขาเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรที่กำลังประสบปัญหา ในขณะที่เงิน Deutsche Mark กำลังเฟื่องฟู เมื่อตระหนักว่าการตรึงค่าเงินระหว่างสองสกุลไม่ยั่งยืน Druckenmiller ในตอนแรกได้นำเงิน 20-25% ของ Quantum Fund ไป Short เงินปอนด์/Long Deutsche Mark โดยมีต้นทุนเพียงครึ่งเปอร์เซ็นต์สำหรับหกเดือน ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวแบบ "ลงทุนก่อนแล้วค่อยสืบค้น" เมื่อหัวหน้าของ Bundesbank (ธนาคารกลางเยอรมนี) ตีพิมพ์บทบรรณาธิการที่บอกใบ้ถึงการล่มสลายของการตรึงค่าเงิน Druckenmiller ก็ตัดสินใจ "ทุ่ม 100%" เข้าไปในการเทรด ตอนนั้นเองที่ Soros ด้วย "สีหน้าฉงนที่ไม่สบอารมณ์" ก็เสนออย่างใจเย็นว่า "นี่เป็นการเดิมพันทางเดียว... เราควรลงทุน 200% ของกองทุนในการเทรดนี้" แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุระดับการใช้เลเวอเรจที่สูงลิ่วเช่นนั้นได้เนื่องจากตลาดเคลื่อนไหวเร็วเกินไป แต่บทเรียนเกี่ยวกับความเชื่อมั่นก็ยังคงฝังแน่น "เขามีความกล้าหาญมากกว่าผมในการกำหนดขนาดสถานะการลงทุน" Druckenmiller ยอมรับ ประสบการณ์นี้ตอกย้ำความเชื่อของเขาในการกระจุกตัวของการลงทุน การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (หุ้น, ตราสารหนี้, สกุลเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, ตราสารหนี้เอกชน) และความสามารถที่สำคัญในการ "เปลี่ยนใจเมื่อคุณผิดพลาด"
Key Learnings:
- "ไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สำคัญคือคุณได้มากแค่ไหนเมื่อคุณถูก และเสียไปเท่าไหร่เมื่อคุณผิด"
- การกระจุกตัวและการกระจายความหลากหลายของสินทรัพย์: เดิมพันใหญ่เมื่อมีความเชื่อมั่นสูง แต่ต้องพร้อมที่จะสำรวจสินทรัพย์ห้าประเภทที่แตกต่างกันเพื่อค้นหาสินทรัพย์ที่มีอัตราส่วนความเสี่ยง-ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
- การไร้อารมณ์: เขาย้ำถึงความสำคัญของการ "ไร้อารมณ์" ต่อการขาดทุน โดยระบุว่า "ผมไม่สนใจเลยว่าผมจ่ายไปเท่าไหร่สำหรับหุ้นตัวหนึ่ง มันไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง"
- ความถ่อมตนและความยืดหยุ่น: ความสามารถในการเปลี่ยนใจ ซึ่งเกิดจากความถ่อมตน เป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จของเขา
ชีวิตในตลาด: จริยธรรมการทำงานและภูมิปัญญาสำหรับคนรุ่นใหม่
Druckenmiller เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ในวัย 71 ปี เขาลุกขึ้นตอนตี 4 พร้อมกาแฟในมือ เพื่อจมดิ่งไปกับ Bloomberg terminal ทันที คัดกรองข้อมูลตลาดและข่าวสารก่อนที่วันทำงานจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แม่ยายของเขาเคยเรียกเขาว่า "อัจฉริยะแบบปัญญาอ่อน" (idiot savant) ซึ่งเป็นคำอธิบายที่เขายอมรับ โดยตระหนักว่าความหลงใหลในตลาดเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังตารางงานที่เข้มงวดของเขา เขาวางแผนที่จะทำต่อไป "จนกว่าผมจะตาย" ด้วยความรักในแรงกระตุ้นและการเรียนรู้ที่ตลาดเรียกร้อง
เมื่อย้อนมองอดีต Druckenmiller ได้แบ่งปันเรื่องราวการลาพักร้อนที่น่าทึ่งจากปี 2000 หลังจากขี่กระแสฟองสบู่ dot-com ขึ้นไป และประสบกับการขาดทุนจำนวนมากเนื่องจาก "การกระทำที่ใช้อารมณ์และโง่เขลาจริงๆ" ด้วยการซื้อหุ้นเทคกลับมา เขาก็ลาออกด้วยความเหนื่อยล้า การหยุดพักสี่เดือน โดยจงใจตัดขาดจากข่าวสารตลาดทั้งหมด พิสูจน์แล้วว่าเป็นประสบการณ์ที่พลิกผันชีวิต เขากลับมาพร้อมกับ "กระดานชนวนที่สะอาด สมองที่ปลอดโปร่ง" ทำให้เขาสามารถมองเห็นสัญญาณลบที่บรรจบกัน (ค่าเงินดอลลาร์, อัตราดอกเบี้ย, ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น, ธุรกิจของลูกค้าที่กำลังประสบปัญหา, การคาดการณ์ผลประกอบการที่สวนทางกับตลาด) ซึ่งนำไปสู่การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (treasuries) ในตำแหน่ง Long อย่างแข็งขัน การเทรดที่บังเอิญและประสบความสำเร็จนั้นส่งผลให้เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาของเขา ตอกย้ำความเชื่อของเขาในพลังของความชัดเจนทางความคิด สำหรับคนหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันอยากมีอาชีพในด้านการเงิน Druckenmiller ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนว่า: "ถ้าพวกเขาเข้ามาเพื่อเงิน พวกเขาควรไปที่อื่น" เขาย้ำว่าความหลงใหลอย่างแท้จริง จริยธรรมการทำงานที่ไม่ลดละ การค้นหาเมนเทอร์ที่ดี (แทนที่จะเป็น MBA) และความเข้าใจในชุดทักษะที่แตกต่างกันของนักวิเคราะห์และผู้จัดการพอร์ตการลงทุนนั้นมีความสำคัญต่อความสำเร็จในเกมที่เขารักมากยิ่งกว่า
Key Practices:
- ระเบียบวินัยสุดขีด: การเริ่มต้นวันตอนตี 4 เพื่อย่อยข้อมูลตลาดและข่าวสารทั่วโลกเป็นกิจวัตรประจำวันของเขา
- พลังของการลาพักร้อน: การหยุดพักช่วยให้เขารีเซ็ตตัวเอง ได้รับความชัดเจน และทำการเทรดที่ทำกำไรสูงและสวนทางกับฉันทามติของตลาด
- ความหลงใหลเหนือผลกำไร: เขาเชื่อว่าความรักที่แท้จริงในเกมและแรงกระตุ้นทางปัญญา ไม่ใช่เงิน ควรเป็นแรงจูงใจหลักในการเข้าสู่วงการการเงิน
- เมนเทอร์สำคัญกว่าปริญญา: เขาแนะนำนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสำเร็จให้มองหาเมนเทอร์แทนที่จะเรียน MBA
"ไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สำคัญคือคุณได้มากแค่ไหนเมื่อคุณถูก และเสียไปเท่าไหร่เมื่อคุณผิด" - Stanley Druckenmiller


