สัมภาษณ์กับ Arnold Schwarzenegger
โดย Rich Roll • 2023-10-02

พอดแคสต์ตอนล่าสุดของ Rich Roll เผยให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจในจิตใจของชายผู้หนึ่งซึ่งมักถูกมองว่ายิ่งใหญ่เกินกว่าชีวิตจริง: อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ บทสนทนานี้จัดขึ้นใน "ออฟฟิศควบพิพิธภัณฑ์วัตถุอันน่าทึ่ง" ของอาร์โนลด์ ซึ่งเจาะลึกไปไกลกว่าบทบาทการแสดงและสุนทรพจน์ทางการเมือง เผยให้เห็นถึงหลักการที่ละเอียดอ่อนซึ่งนำพาความสำเร็จอันสูงส่งของเขาในหลากหลายวงการ ทั้งเพาะกาย, ฮอลลีวูด, และการเมือง และปิดท้ายด้วยบทบาทที่สี่อันน่าประหลาดใจซึ่งนิยามด้วยการบริการเพื่อผู้อื่น
ยักษ์ใหญ่ผู้ถ่อมตน: ความทะเยอทะยานที่ถูกลดทอนด้วยความเป็นจริง
ในเส้นทางอาชีพที่เต็มไปด้วยความสำเร็จอันไร้เทียมทาน หลายคนอาจคาดหวังถึงอีโก้ที่สูงส่งไม่แพ้กัน ทว่า อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ กลับแสดงทัศนคติที่ถ่อมตนอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Rich Roll ตั้งข้อสังเกตว่าเขาคือ "สัญลักษณ์แห่งยุคสมัยหรือแบบอย่างของความฝันแบบอเมริกัน" แม้จะมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูทะนงตน แต่อาร์โนลด์ยอมรับว่าเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเอง "ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์" เลย เขาอธิบายว่า "ในความเป็นจริง ผมรู้สึกว่าเวลาผมทำงาน เช่นในวงการภาพยนตร์ ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกต่างอะไรจากการเป็นช่างประปาที่ไปทำงานเลย" ความจริงใจที่น่าประหลาดใจนี้ยังย้อนไปถึงสมัยที่เขายังเป็น Mr. Olympia ที่เขานึกย้อนไปว่ามองตัวเองในกระจกแล้วเห็น "ข้อบกพร่องมากมาย" นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถพิเศษในการแสดงออกถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่ยังคงรักษาการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองอย่างเข้มงวดไว้เป็นการส่วนตัว ความเปราะบางของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพลักษณ์อันไม่พ่ายแพ้ที่ถูกยกย่องเป็นตำนานของไอคอนคนอื่นๆ อย่าง มูฮัมหมัด อาลี ซึ่งอาร์โนลด์กล่าวว่า "ก็มีช่วงเวลาที่เผชิญกับความจริง เพราะเขาก็เคยแพ้"
Key Insights:
- ความเชื่อมโยงในความเรียบง่าย: เขามองว่างานของเขา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงหรือการบริหารบ้านเมือง ไม่ได้แตกต่างโดยพื้นฐานจากงานทั่วไป ซึ่งสร้างความเชื่อมโยงกับผู้คน
- พลังของการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง: การตระหนักถึงข้อบกพร่องอยู่เสมอ แม้จะอยู่ในจุดสูงสุดของความสำเร็จ ก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่
- ความเปราะบางที่เป็นของแท้: การยอมรับความไม่มั่นคงและข้อบกพร่องส่วนตัว ทำให้สถานะไอคอนของเขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ทำให้ข้อความของเขาสะท้อนใจผู้คนได้ดีขึ้น
หลักการต่อต้านการเป็นเหยื่อ: โอบรับความยากลำบากในฐานะตัวเร่งปฏิกิริยา
หนังสือเล่มใหม่ของอาร์โนลด์ Be Useful สนับสนุนปรัชญาที่ขัดแย้งอย่างชัดเจนกับ "วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ" ในปัจจุบัน เขาเชื่อมั่นในแนวทางที่เข้มงวดในการพัฒนาตนเอง โดยยืนยันว่าการเอาใจและอ่อนแอจะไม่นำพาไปสู่สิ่งใด เขาประกาศอย่างเร่าร้อนว่า "เราต้องแข็งแกร่งขึ้น เราต้องอดทนมากขึ้น เราต้องพร้อมที่จะเผชิญความยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน และความเจ็บปวด" ปรัชญานี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่ฝังรากลึกมาจากการเลี้ยงดูของเขา ที่เขาเลือกที่จะมองสถานการณ์ที่ท้าทาย รวมถึงพ่อที่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช่เป็นจุดที่สร้างความเจ็บปวด แต่เป็นประสบการณ์ที่หล่อหลอมซึ่งเขาไม่รู้สึก "คิดลบแม้แต่น้อย" เขาแสดงให้เห็นถึง "ความรักที่แข็งแกร่ง" นี้ด้วยเรื่องเล่าจากการเลี้ยงลูกของตัวเอง เช่น การเผารองเท้าที่ถูกทิ้งไว้ข้างเตาผิงซ้ำๆ หรือการบังคับให้เล่นสกีแม้จะร้องไห้ในตอนแรก ซึ่งส่งผลให้พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและซาบซึ้งในบทเรียนเหล่านั้น
Key Learnings:
- ความยากลำบากสร้างลักษณะนิสัย: ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด และความเจ็บช้ำ ไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่ควรอ้าแขนรับไว้ในฐานะโอกาสในการเติบโตและความเข้มแข็งส่วนบุคคล
- การปฏิเสธการเป็นเหยื่อ: ส่งเสริมให้บุคคลรับผิดชอบชีวิตของตนเองและพัฒนาตนเองอย่างกระตือรือร้น แทนที่จะจมปลักอยู่กับความรู้สึกไร้พลัง
- วินัยคือความรัก: การกำหนดโครงสร้างและความรับผิดชอบ แม้จะยากลำบาก ก็สามารถส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในระยะยาวได้ ดังที่เห็นได้จากการเลี้ยงดูบุตรของเขา
จากการแสวงหาตนเองสู่การบริการอันไร้ซึ่งผลประโยชน์: บทบาทที่สี่
Rich Roll ได้ตีความ "สามบทบาท" ของอาร์โนลด์ไว้อย่างลึกซึ้งว่าเป็นการ "วิวัฒนาการ" ไปสู่การบริการผู้อื่น เป็นการเดินทางจาก "ตัวฉัน" สู่ "ตัวเรา" อาร์โนลด์เห็นด้วยทันที โดยอธิบายว่าในตอนแรก "คุณยังไม่มีอะไรมากพอที่จะมอบคืน" แต่การสร้างฐานให้ตัวเองนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นเพื่อสร้างผลกระทบที่ใหญ่ขึ้น การมีส่วนร่วมกับ Special Olympics ซึ่งในตอนแรกเป็นการร้องขอจากผู้เชี่ยวชาญด้านเพาะกาย กลับผลักดันให้เขาเข้าสู่การส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาอย่างไม่คาดฝัน ความมุ่งมั่นนี้ขยายตัวผ่านบทบาทของเขากับ President’s Council on Physical Fitness และในที่สุดก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเข้าสู่เส้นทางการเมือง เขานึกถึง Sergeant Shriver พ่อตาผู้ล่วงลับของเขา ที่เคยกระตุ้นนักเรียนว่า "จงทุบกระจกที่คุณมองตัวเองอยู่เสมอ... แล้วคุณจะสามารถมองทะลุผ่านกระจกนั้นไปเห็นผู้คนนับล้านที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ" สำหรับอาร์โนลด์ การมอบคืนให้สังคมกลายเป็นลักษณะนิสัยที่ "เสพติด" ทำให้เขารู้สึก "ร่ำรวยและดีใจในตัวเองมากที่สามารถสร้างผลกระทบเช่นนี้ได้"
Key Changes:
- ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลเพื่อสิ่งดี: เปลี่ยนแพลตฟอร์มความสำเร็จส่วนบุคคล (เพาะกาย, ภาพยนตร์) ให้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างผลกระทบทางสังคมในวงกว้าง โดยเริ่มต้นผ่าน Special Olympics
- การเสพติดการบริการ: ค้นพบความสมหวังส่วนบุคคลที่ลึกซึ้งและความ "ร่ำรวย" ในการมอบคืนและสร้างความแตกต่างเชิงบวกในชีวิตของผู้อื่น
- ทุบกระจก: เปลี่ยนจากการมุ่งมั่นเพื่อตนเองไปสู่มุมมองที่กว้างขึ้นซึ่งให้ความสำคัญกับความต้องการของชุมชนและสังคม
ผู้นำผู้ใฝ่รู้: ผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยทางออก
แนวทางการเป็นผู้นำและการแก้ปัญหาของอาร์โนลด์หยั่งรากลึกมาจากความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันพอ และความมุ่งมั่นในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เขาให้เหตุผลว่ากรอบความคิดนี้มาจากพื้นเพด้านกีฬาของเขา ที่ซึ่ง "การเปิดใจรับฟังสำคัญมากสำหรับผม" เพื่อเรียนรู้จากผู้อื่นและหลีกเลี่ยงความซบเซา เขาย้อนเล่าถึงช่วงเวลาสำคัญกับ Vince Gironda เจ้าของยิม ผู้ซึ่งสอนท่าบริหารไตรเซ็ปส์ที่ดูเหมือน "ง่ายๆ" แต่กลับช่วยพัฒนาสรีระของเขาได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการลองทำสิ่งต่างๆ "ก่อนที่เราจะด่วนสรุป" จิตวิญญาณแห่งความใฝ่รู้นี้ยังเป็นตัวกำหนดการบริหารรัฐแคลิฟอร์เนียของเขา แม้ในตอนแรกจะถูกมองว่าเป็นดาราแอคชั่นที่ไม่เหมาะสมกับงานนโยบาย แต่อาร์โนลด์กลับพบว่าแซคราเมนโตคือ "มหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผม" เขาสนใจประเด็นต่างๆ เช่น อัตราส่วนพยาบาลต่อผู้ป่วย และปัญหาเรือนจำแออัด เขาเข้าถึงทุกประเด็น ตั้งแต่การปฏิรูปสาธารณสุขไปจนถึงการศึกษา ด้วยใจที่เปิดกว้าง รับฟังทั้งสองฝ่าย และมองหา "จุดที่ลงตัว" ของฉันทามติ แทนที่จะมองฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวร้าย
Key Practices:
- โลกคือห้องเรียน: แสวงหาความคิดเห็นและข้อเท็จจริงที่หลากหลายอย่างกระตือรือร้น มองทุกการเผชิญหน้าและความท้าทายด้านนโยบายเป็นโอกาสในการเรียนรู้
- การทดลองเหนือการตัดสินล่วงหน้า: เต็มใจที่จะ "ลองทำ" และละทิ้งอคติแรกเริ่ม แม้เมื่อความคิดนั้นดูไม่เป็นไปตามแบบแผน เพื่อค้นพบวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ
- การสร้างฉันทามติ: เข้าหาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไม่ใช่ในฐานะศัตรู แต่ในฐานะหุ้นส่วน ส่งเสริมความร่วมมือเพื่อระบุวิธีแก้ปัญหาที่ได้ประโยชน์ร่วมกันสำหรับปัญหาที่ซับซ้อน
"เพื่อที่จะดีขึ้น เพราะเมื่อคุณดีขึ้น เมื่อคุณพัฒนาขึ้น คุณจะรู้สึกดี เมื่อเราปรับปรุง เราก็รู้สึกดี เมื่อเราทำอะไรสำเร็จ เราก็รู้สึกดี และสิ่งนั้นก็จะส่งผลดีต่อทุกสิ่งทุกอย่าง" - อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์


